วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผลงาน




 


ขั้นตอนการทำตัวหนังตะลุง

 1.เตรียมหนัง

 2.ขัดแผ่นหนังวัวให้เรียบ
 

3.ออกแบบและร่างภาพบนหนังวัว

4.ตอกตัวหนังตามที่ร่างภาพไว้

5.แกะหนัง ตามที่ร่างภาพไว้

6.ลงสีและลงน้ำมันชักเงา
 
 


อุปกรณ์การทำตัวหนังตะลุง




1.หนังวัว

2.ไม้รองตอก(เขียง)
 

3. ค้อน
 

4. มุก หรือ ตุ๊ดตู่      
 

5.เหล็กแหลมหรือเหล็กขีด
 

6.มีดแกะ

7.สบู่ขิง

8.ดินสอ และ ยางลบ
 

9.กรรไกร
 

10.แม็ก
 

11.สีต่างๆ

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประวัติของนายสุริยา ชูวิจิตร กับการแกะหนังตะลุง

         มนายสุริยา ชูวิจิตร ที่อยู่ปัจจับัน 13 หมู่ที่5 ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวังสตูล 91130 เบอร์โทรศัพ์มือถือ 089-9754398 จบระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น ม.3 บิดานายสมจิตร์ ชูวิจิตร มารดานางฉลวย ชูวิจิตร เป็นบุตรคนที่ 1 ในจำนวนพี่น้อง 7 คน
        เริ่มเรียนรู้เรื่องการแกะหนังมาตั้งแต่ตอนประถมศึกษาปีที่ 6 โดยเรียนรู้มาจากพ่อ แต่ทำได้ 3 ปีก็หยุดทำ เพราะต้องไปอยู่ที่อื่น และเริ่มมาทำต่อในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2534 โดยเริ่มทำกนกตามโลงศพแกะเป็นลายเทพพนมและทำเรือพระ แต่กนกโลงศพทำมาได้สักพักก็ต้องหยุดทำ เพราะมีการใช้โลงแอร์มากขึ้น จึงหันมาแกะรูปหนัง โดยแกะมาจนถึงปัจจุบัน
        ซึ่งปัจจุบันพ่อก็สอนอยู่ที่ซอย 4 และทำที่บ้านด้วย ส่วนตัวเองก็ทำที่บ้าน และตอนนี้ก็มีการทำส่ง OTOP และทำส่งประกวด OTOP ซึ่งทำส่งมาแล้วเป็นเวลา 3 ปี
        ผลงานเด่นๆ ในปัจจุบันก็เป็นแกะรูปหนังว่าวควาย ซึ่งเป็นผลงานระดับ 3 ดาวที่ส่ง OTOP และก็จะมีลูกค้ามาสั่งทำอยู่ตลอด ทั้งยังเคยถ่ายทอดความรู้ให้กับกลุ่มเยาวชนในและผู้ที่สนใจชุมชนอีกด้วย

ตัวตลกหนังตะลุง

      ตัวตลกเอก หมายถึง ตัวตลกที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วไป นายหนังคณะต่างๆหลายคณะนิยมนำไปแสดง มีดังต่อไปนี้      
 
             1. อ้ายเท่ง หนังจวนบ้านคูขุดเป็นคนสร้าง โดยเลียนแบบบุคลิกมาจากนายเท่ง ซึ่งเป็นชาวบ้านอยู่บ้านคูขุด อำเภอสะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา เป็นคนรูปร่างผอมสูง ลำตัวท่อนบนยาวกว่าท่อนล่าง ผิวดำ ปากกว้าง หัวเถิก ผมหยิกงอ ใบหน้าคล้ายนกกระฮัง ลักษณะเด่นคือ นิ้วมือขวายาวโตคล้ายอวัยวะเพศผู้ชาย ส่วนนิ้วชี้กับหัวแม่มือซ้ายงอหยิกเป็นวงเข้าหากัน รูปอ้ายเท่งไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าโสร่งตาหมากรุก มีผ้าขาวม้าคาดพุง มีมีดอ้ายครก(มีดปลายแหลม ด้ามงอโค้ง มีฝัก)เหน็บที่สะเอว เป็นคนพูดจาโผงผาง ไม่เกรงใจใคร ชอบข่มขู่และล้อเลียนผู้อื่น เป็นคู่หูกับอ้ายหนูนุ้ย เป็นตัวตลกที่นายหนังเกือบทุกคณะนิยมนำไปแสดง

       
             2. อ้ายหนูนุ้ย ไม่มีบันทึกว่าใครเป็นคนสร้าง หนูนุ้ยมีบุคลิกซื่อแกมโง่ ผิวดำ รูปร่างค่อนข้างเตี้ย พุงโย้ คอตก ทรงผมคล้ายแส้ม้า จมูกปากยื่นคล้ายปากวัว ไว้เคราหนวดแพะ รูปอ้ายหนูนุ้ยไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าโสร่งไม่มีลวดลาย ถือมีดตะไกรหนีบหมากเป็นอาวุธ พูดเสียงต่ำสั่นเครือขึ้นนาสิก เป็นคนหูเบาคล้อยตามคำยุยงได้ง่าย แสดงความซื่อออกมาเสมอ ไม่ชอบให้ใครพูดเรื่องวัว เป็นคู่หูกับอ้ายเท่ง และเป็นตัวตลกที่นายหนังทุกคณะนิยมนำไปแสดงเช่นกัน    

 
                3. นายยอดทอง ไม่มีบันทึกว่าใครเป็นคนสร้าง แต่เชื่อกันว่าเป็นชื่อคนที่เคยมีชีวิตอยู่จริง เป็นชาวจังหวัดพัทลุง รูปร่างอ้วน ผิวดำ พุงย้อย ก้นงอน ผมหยิกเป็นลอน จมูกยื่น ปากบุ๋ม เหมือนปากคนแก่ไม่มีฟัน หน้าเป็นแผลจนลายคล้ายหน้าจระเข้ ใครพูดถึงเรื่องจระเข้จึงไม่พอใจ รูปยอดทองไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าลายโจงกระเบน เหน็บกริชเป็นอาวุธประจำกาย เป็นคนเจ้าชู้ ใจเสาะ ขี้ขลาด ชอบปากพูดจาโอ้อวดยกตน ชอบขู่หลอก พูดจาเหลวไหล บ้ายอ ชอบอยู่กับนายสาว จนมีสำนวนชาวบ้านว่า "ยอดทองบ้านาย" เป็นคู่หูกับนายสีแก้ว 
 
             4.นายสีแก้ว  ไม่มีบันทึกว่าใครเป็นคนสร้าง แต่เชื่อกันว่าเอาบุคลิกมาจากคนชื่อสีแก้วจริงๆ เป็นคนมีตะบะ มือหนัก เวลาโกรธใครจะตบด้วยมือหรือชนด้วยศรีษะ เป็นคนกล้าหาญ พูดจริงทำจริง ชอบอาสาเจ้านายด้วยจริงใจ ตักเตือนผู้อื่นให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามทำนองคลองธรรม เป็นคนรูปร่างอ้วนเตี้ย ผิวคล้ำ มีโหนกคอ ศรีษะล้าน นุ่งผ้าโจงกระเบนลายตาหมากรุก ไม่สวมเสื้อ ไม่ถืออาวุธใดๆ ใครพูดล้อเลียนเกี่ยวกับเรื่องพระ เรื่องร้อน เรื่องจำนวนเงินมากๆ จะโกรธทันที พูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ เพื่อนคู่หูคือนายยอดทอง 

 
             5. อ้ายสะหม้อ หนังกั้น ทองหล่อเป็นคนสร้าง เลียนแบบบุคลิกมาจากมุสลิมชื่อสะหม้อ เป็นคนบ้านสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งนายสะหม้อเองก็รับรู้และอนุญาตให้หนังกั้นนำบุคลิกและเรื่องราวของตนไป สร้างเป็นตัวละครได้ รูปอ้ายสะหม้อหลังโกง มีโหนกคอ คางย้อย ลงพุง รูปร่างเตี้ย สวมหมวกแบบมุสลิม นุ่งผ้าโสร่ง ไม่สวมเสื้อ เป็นคนอวดดี ชอบล้อเลียนคนอื่น เป็นมุสลิมที่ชอบกินหมู ชอบดื่มเหล้า พูดสำเนียงเนิบนาบ รัวปลายลิ้น ซึ่งสำเนียงของคนบ้านสะกอม มีนายหนังหลายคนนำอ้ายสะหม้อไปเล่น แต่ไม่มีใครพากย์สำเนียงสะหม้อได้เก่งเท่าหนังกั้น ปกติสะหม้อจะเป็นคู่หูกับขวัญเมือง 

 
              6. อ้ายขวัญเมือง เป็นตัวตลกเอกของหนังจันทร์แก้ว จังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่มีประวัติความเป็นมา คนในจังหวัดนครศรีธรรมราชจะไม่เรียกว่า "อ้ายเมือง" เหมือนนายหนังจังหวัดอื่นๆ แต่เรียกว่า "ลุงขวัญเมือง" ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหากตัวตลกตัวนี้นำบุคลิกมาจากคนจริง ก็คงเป็นคนที่ได้รับการยกย่องจากคนในท้องถิ่นอย่างสูงทีเดียว อ้ายขวัญเมืองหน้าคล้ายแพะ ผมบางหยิกเล็กน้อย ผิวดำ หัวเถิก จมูกโด่งโตยาว ปากกว้าง พุงยานโย้ ก้นเชิด ปลายนิ้วชี้บวมโตคล้ายนิ้วอ้ายเท่ง นุ่งผ้าสีดำ คาดเข็มขัด ไม่สวมเสื้อ เป็นคนซื่อ แต่บางครั้งก็ฉลาด ขี้สงสัยใคร่รู้เรื่องคนอื่น พูดเสียงหวาน 

 
             7. อ้ายโถ  ไม่มีบันทึกว่าใครเป็นคนสร้าง เลียนแบบบุคลิกมาจากจีนบ๋าบา ชาวพังบัว อำเภอสะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา เป็นคนที่มีศรีษะเล็ก ตาโตถลน ปากกว้าง ริมฝีปากล่างเม้มเข้าไป ลำตัวป่องกลม สวมหมวกมีกระจุกข้างบน นุ่งกางเกงจีนถลกขา ถือมีดบังตอเป็นอาวุธ เป็นคนชอบร้องรำทำเพลง ขี้ขลาดตาขาว โกรธใครไม่เป็น อ้ายโถมีคติประจำใจว่า "เรื่องกินเรื่องใหญ่" ไม่ว่าใครจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม โถสามารถดึงไปโยงกับของกินได้เสมอ ซึ่งเป็นมุกตลกที่นับว่ามีเสน่ห์ไม่น้อย เพราะไม่ลามกหยาบคาย จึงเป็นตัวตลกที่ดึงความสนใจจากเด็กๆได้มาก อ้ายโถเป็นเพียงตัวตลกประกอบ มักเล่นคู่กับอ้ายสะหม้อ          
                                  
                                                                                      
             8. ผู้ใหญ่พูน ไม่มีบันทึกว่าใครเป็นคนสร้าง คาดว่าคงจะเลียนแบบบุคลิกมาจากผู้ใหญ่บ้านคนใดคนหนึ่ง เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ จมูกยาวคล้ายตะขอเกี่ยวมะพร้าว ศรีษะล้าน แต่มีกระจุกผมเป็นเกลียวดูคล้ายหูหิ้วถังน้ำ พุงโย้ยาน ก้นเชิดสูงจนหลังแอ่น เพื่อนมักจะล้อเลียนว่า บนหัวติดหูถังตักน้ำ สันหลังเหมือนเขาพับผ้า (เส้นทางระหว่างพัทลุง-ตรัง มีโค้งหักศอกหลายแห่ง) ผู้ใหญ่พูนนุ่งโจงกระเบนไม่มีลวดลาย เป็นคนชอบยุยง ขี้โม้โอ้อวด เห่อยศ ชอบขู่ตะคอกผู้อื่นให้เกรงกลัว แต่ธาตุแท้เป็นคนขี้ขลาดตาขาว ชอบแสแสร้งปั้นเรื่องฟ้องเจ้านาย ส่วนมากเป็นคนรับใช้อยู่เมืองยักษ์ หรืออยู่กับฝ่ายโกง พูดช้าๆ หนีบจมูก เป็นตัวตลกประกอบ
       
               9.อ้ายแก้วกบ อ้ายลูกหมีก็เรียก เป็นตัวตลกเอกของหนังจังหวัดนครศรีธรรมราช รูปร่างอ้วน ปากกว้างคล้ายกบ ชอบสนุกสนาน พูดจากไม่ชัด หัวเราะเก่ง ชอบพูดคำศัพท์ที่ผิดๆ เช่น อาเจียนมะขาม (รากมะขาม) ข้าวหนาว (ข้าวเย็น) ชอบร้องบทกลอน แต่ขาดสัมผัส เพื่อคู่หูคือนายยอดทอง

เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของรูปหนังตะลุง

        การ แกะรูปหนังตะลุงที่ใช้ในการแสดงนั้น ช่างแกะหนังตะลุง ต้องใช้ ใช้ความรู้ความสามารถ ความชำนาญซึ่งเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นเป็น เวลายาวนานและจะต้องมีศิลปะ ความละเอียด ความประณีต มีใจรัก มีจินตนาการที่ดี ต้องศึกษาประวัติความเป็นมา บุคลิกภาพของรูปตัวหนังตะลุงที่จะแกะว่ามีรูปแบบหน้าตา เอกลักษณ์ของรูปหนังแต่ละตัวว่าเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้แกะรูปภาพออกมาตามแบบตัวละครที่สวยงามและมีชีวิตชีวา ตลอดทั้งความเชื่อในการแกะรูปหนังตะลุง ที่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้ยึดถือกันตลอดมา ทั้งนี้เพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตนเองและคณะหนังตะลุง ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างการแกะรูปหนังตะลุงหรือการแสดงหนังตะลุงก็ตาม ช่างแกะหนังตะลุงจะต้องตั้งจิตระลึกถึงครู อาจารย์และพระพิฆเณศวร์ ผู้ประสาทวิชาศิลป์ แล้วจรดปลายมีดแกะลงบนผืนหนังเพื่อจะแกะรูปหนังตะลุงตัวแรก พร้อมกล่าวเป็นคาถาเบิกตา เสร็จแล้วกล่าวคาถาเบิกปากรูป เป็นอันว่ารูปตัวต่อ ๆ ไปที่ทำในวันนั้น ทำต่อไปได้ไม่ต้องว่าคาถาแล้ว แต่พอเริ่มวันใหม่ก็ต้องว่าคาถาเหมือนเดิมอีก ช่างจึงสามารถถ่ายทอดภูมิปัญญาในการแกะรูปหนังตะลุงได้โดยสามารถสื่อให้เห็น ถึงเอกลักษณ์และหัตลักษณ์เฉพาะตัวของรูปหนังตะลุงได้เป็นอย่างดี ซึ่งรูปหนังตะลุง แบ่งแยกออกเป็น 4 ชนิด คือ
    1. รูปเรื่อง ได้แก่ รูปฤาษี รูปพระอิศวรหรือรูปพระอินทร์ทรงโค รูปปรายหน้าบทและรูปบอกเรื่อง ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะ ดังนี้
        1.1 รูป ฤาษี ถือ เป็นรูปครูมีความขลังศักดิ์สิทธิ์ มีความเคร่งขรึม ฤาษีที่อยู่ในเนื้อเรื่องของหนังตะลุงมักเป็นสิทธาจารย์ ผู้คงแก่เรียนทำนองเดียวกับฤาษีในวรรณกรรม มักเรียกว่า ฤาษีตาไฟ ทรงวิทยาคุณอย่างพราหมณ์ และทรงคุณธรรมอย่างพุทธประสมประสานกันบทบาทดี่เด่นชัด ช่างแกะรูปหนังตะลุง ต้องใช้ภูมิปัญญาในการแกะที่สามารถสื่อให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของรูปนี้ให้ได้ ซึ่งแต่ละช่างก็ไม่สามารถถ่ายทอดให้เหมือนกันได้ทุกคน รูปฤาษีจะออกมาในลักษณะใดขึ้นอยู่กับความสามารถและจินตนาการของช่างนั้น ๆ
        1.2 รูปพระอิศวร(รูปโค) รูปพระอิศวรของหนังตะลุง เป็นรูปสำคัญตัวหนึ่งที่หนังตะลุงทุกคณะต้องเชิดตามขนบนิยมทุกครั้งที่มีการ แสดง และเชิดเป็นตัวที่ 2 ต่อจากรูปฤาษี รูปพระอิศวร เป็นสื่อเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมหนังตะลุงกับคตินิยม ตามลัทธิศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายที่ถือเอาพระศิวเทพเป็นใหญ่ในตรีมูรติ (พระศิวะ พระวิษณะ และพระพรหม) ซึ่งช่างต้องใช้ความสามารถในการสื่อให้เห็นภาพพจน์ของรูปลักษณะเช่นนี้ให้ เข้าใจได้ง่าย
        1.3 รูปปรายหน้าบท  ปรายหน้าบทถือว่าเป็นตัวแทนของนายหนัง ที่ช่างต้องใช้ภูมิปัญญาในการคิดที่จะถ่ายทอดให้ออกมาเป็นรูปชายหนุ่มที่สวย งามมือถือธงหรือดอกบัว ใช้เชิดหลังจากพระอิศวรจบแล้ว เพื่อกล่าวบทไหว้ครูและปรารภเรื่องต่าง ๆ กับผู้ชม
        1.4 รูปบอก เรื่อง เป็น ตัวตลกตัวหนึ่งของคณะหนังแต่ละคณะเพื่อใช้ในการบอกเรื่องที่จะแสดง ซึ่งรูปบอกเรื่องของนายหนังแต่ละคณะนั้นจะแตกต่างกัน เป็นรูปที่แกะแบบหยาบ ๆ ง่าย ๆ เอกลักษณ์ของตัวตลก เป็นการนำเอาคนในท้องถิ่นมาสรรสร้างขึ้นเพื่อล้อเลียน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาที่สำคัญของช่างอีกประการหนึ่งที่สามารถสื่อออก มาในลักษณะของการตลก ขบขันได้
    2. รูปนุด ได้แก่รูปมนุษย์ชายหญิง รูปพระรูปนาง รูปเจ้าเมือง มเหสี พระโอรสธิดา รูปพระเอก นางเอก โดยช่างต้องใช้ฝีมือในการแกะให้เหมือนจริงที่สุดและลงสีสันให้สวยงาม
    3. รูปยักษ์ ได้แก่ ตัวแทนฝ่ายอธรรม รูปทาสา รูปทาสี ซึ่งไม่มียศศักดิ์
ยักษ์ ในหนังตะลุง มี 3 ประเภท คือ ยักษ์กินคน มีความโหดร้ายอำมหิตโดยสันดาน ยักษ์ใจบุญสุทาน ร่างเป็นยักษ์แต่ใจเป็นมนุษย์ เดนยักษ์หรือยักษ์บ้า เป็นยักษ์ป่า บ้า ๆ บอ ๆ ยักษ์ทั้ง 3 ประเภทนี้มีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ยักษ์ผู้เรียกว่ายักษา ยักษ์เมียเรียกว่ายักษี การแกะรูปยักษ์ช่างต้องสื่อให้เห็นถึงความขึงขัง มีอำนาจและดุร้าย ทั้งรูปแบบของตัวหนังและการใช้สี ส่วนรูปทาสา รูปทาสีที่ไม่มียศศักดิ์ ก็เป็นความสามารถของช่างเช่นกันที่สามารถสื่อออกมาให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของ รูปหนังแต่ละตัวได้
    4.รูปกาก คือรูปตลกต่าง ๆ พูดจาหรือแสดงท่าทางขบขันเอาเนื้อหาสาระไม่ได้ บางตัวถือว่าเป็นตัวสำคัญสร้างชื่อเสียงให้หนังตะลุง บางครั้งอาจจะจัดให้เป็นตัวศักดิ์สิทธิ์ของคณะนั้น ๆ รูปกากส่วนใหญ่จะเป็นรูปสีดำหรือสีดั้งเดิมที่นำมาแกะรูป ไม่ค่อยมีลวดลาย แต่ก็เป็นภูมิปัญญาของช่างที่สามารถนำบุคคลในท้องถิ่นมาล้อเลียนเป็นตัวตลก ของคณะหนังได้ ประกอบด้วยตัวตลกต่าง ๆ เช่น นายเท่ง นายหนูนุ้ย นายยอดทอง


ขั้นตอนและองค์ความรู้ในการแกะรูปหนังตะลุง

       ในการประดิษฐ์สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมการแกะรูปหนังตะลุงนี้ จะเห็นได้ว่าจากรูปหนังที่ได้ผลิตขึ้นมานั้น มีขั้นตอน วิธีการที่ซับซ้อนมากในการผลิตให้ออกมาเป็นตัวหนังตะลุงได้ และการที่ช่างได้พัฒนาภูมิปัญญา เพื่อสร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นนั้น ช่างต้องใช้ฝีมือในการผลิต โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องจักรกล หรือเทคโนโลยีในการผลิต นำวัสดุเหลือใช้ที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาสร้างสรรค์ผลงาน จนสามารถประกอบเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนหลายครัวเรือนและมีการรวมกลุ่มเป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน ก่อให้เกิดความรักสามัคคี สามารถสร้างเสริมให้สังคมสันติสุขและยั่งยืนได้
        ขั้นตอนการแกะรูปหนังตะลุง ไม่ว่าจะเป็นรูปหนังเชิดหรือรูปสำหรับตกแต่ง มีกรรมวิธีทำเหมือนกัน คือ
        1. ขั้น เตรียมหนัง หนังที่ช่างทั่ว ๆ ไปนิยมใช้คือหนังวัวและหนังควาย และถือเป็นองค์ความรู้ของช่างในการเลือกหนังได้อย่างหนึ่ง เพราะหนังทั้งสองชนิดนี้ มีคุณลักษณะพิเศษกว่าหนังสัตว์อื่น ๆ มีความหนาบางพอเหมาะ มีความแข็งและปรับตัวดี เหนียวและมีความคงทนเมื่อฟอกแล้วจะโปร่งแสง เมื่อระบายสีและนำออกเชิดจะให้สีสันสวยงามและหนังทั้งสองชนิดนี้จะไม่บิดงอ หรือพับง่าย ช่างจะนำหนังสด ๆ มาวางบนแผ่นกระดานหรือพื้นที่ที่เตรียมไว้เพื่อฟอกหนัง ขั้นการฟอกหนังจะนำหนังที่ตากแห้งโดยใช้ความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์มาหมัก ในน้ำหมักสับปะรด น้ำผลมะเฟืองใบส้มป่อย ใบชะมวง หรือส้มอื่น ๆ และข่า การฟอกแบบนี้จะสะดวก เพราะในพื้นที่ท้องถิ่นหาได้ง่าย และอีกวิธีหนึ่งคือ การฟอกด้วยน้ำส้มสายชู จากนั้นก็นำไปขูดขนออก ล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วนำไปตากให้แห้งอีกครั้งหนึ่ง
        2. ขั้น ออกแบบและร่างภาพลงบนแผ่นหนัง เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการแกะหนัง เป็นงานประณีตต้องมีความสามารถในการออกแบบ ใช้ทั้งความรู้ จินตนาการ ฝีมือ และทักษะประกอบกัน การร่างภาพอาจจะร่างบนหนังเลยหรือแกะฉลุร่างบนกระดาษ แล้วนำไปเป็นแบบวางทาบบนแผ่นหนัง ช่างแกะหนังทุกคนจะต้องมีความสามารถร่างภาพได้จึงจะได้ชื่อว่า ช่างแกะหนังที่แท้จริง การร่างภาพในแต่ละภาพก็จัดว่าสำคัญ เพราะถือว่ารูปหนังแต่ละตัว เป็นการเขียนหน้า เขียนตาให้ถึงบทและให้ตัวละครมีลักษณะให้เหมือนจริงมากที่สุด และช่างก็ต้องเข้าใจกายวิภาค ลักษณะรูปร่างสรีระของร่างกาย ของตัวรูปหนังนั้น ๆ ด้วย และที่สำคัญจะต้องเข้าใจว่าจะร่างส่วนไหนของรูปก่อนและช่างจะต้องมีองความ รู้เรื่องกนกลวดลายไทยด้วย เพื่อให้รูปมีความอ่อนโยน สวยงามตามลักษณะของรูปหนังแต่ละตัว
        3. ขั้นแกะหนัง ขั้นตอนนี้จะต้องใช้ความชำนาญและพิถีพิถันมาก เครื่องมือที่ใช้แกะประกอบด้วยเขียงไม้เนื้ออ่อนและไม้เนื้อแข็ง มีด ตุ๊ดตู่หรือมุกลักษณะต่าง ๆ เช่น กลม เหลี่นม โค้ง ซึ่งจะต้องใช้มุกให้สัมพันธ์กับลวดลาย เช่น ถ้าเป็นดอกลายต่าง ๆ หรือเส้นประ ก็จะใช้มุกดอกตามลักษณะของปากมุกแต่ละแบบ ซึ่งช่างต้องใช้ความชำนาญและต้องพิถีพิถันมาก เพื่อให้ได้ดอกลายที่อ่อน งดงาม ช่วงจังหวะของดอกลายแต่ละตัวก็ขึ้นอยู่กับตัวรูปหนัง ส่วนมากรูปกนกลายที่มีความสวยงามจะเป็นรูปตัวพระ ตัวนาง รูปพระราชา พระราชินีและรูปเจ้าเมือง หลังจากแกะส่วนภายในของรูปเสร็จก็ใช้มีดขุดแกะหนังตามเส้นรอบนอกก็จะได้รูป หนังแยกออกเป็นตัว ถ้าเป็นรูปหนังเชิด ช่างจะใช้หมุดร้อยส่วนต่าง ๆ ที่ต้องการให้เคลื่อนไหวได้ตามส่วนต่าง ๆ ของรูป ซึ่งมีส่วนของมือ แขนและปาก เป็นต้น ส่วนเครื่องมือประกอบเพิ่มเติมที่ขาดไม่ได้ คือ สบู่ หรือเทียนไข นับเป็นองค์ความรู้ของช่างที่ได้นำสบู่ หรือเทียนไข มาใช้จิ้มปลายมีดหรือปลายมุก เพื่อกันมีดและมุกมีลักษณะฝืดและไม่ลื่นไหล สบู่ หรือเทียนไข จะทำให้มีดมุกตอกลงบนหนังทะลุง่าย ลื่น ทำลวดลายได้เร็วขึ้น
ก่อนเริ่มต้นการแกะรูปหนังตะลุงในแต่ละวัน ช่างแกะหนังตะลุงจะต้องตั้งจิตระลึกถึงครูบาอาจารย์และพระพิฆเณศวร์พระผู้ ประสาทวิชาศิลป์ แล้วจรดปลายมีดแกะลงบนผืนหนัง เพื่อแกะรูปตัวแรก พร้อมกับกล่าวคาถาเบิกตา เปิดหู เสร็จแล้วกล่าวคาถาเบิกปากรูป เป็นอันว่ารูปตัวต่อ ๆ ไปที่ทำในวันนั้น ทำต่อไปได้ไม่ต้องว่าคาถาแล้ว แต่พอเริ่มวันใหม่ก็ต้องว่าคาถาเหมือนเดิมอีก
        4. ขั้นลงสี การลงสีรูปหนังขึ้นอยู่กับลักษณะรูป ลักษณะของหนังและประโยชน์ใช้สอย รูปหนังเพื่อใช้เชิดต้องใช้สีฉุดฉาดเด่นสะดุดตา การลงสีของรูปหนังตะลุงบางครั้งต้องลงสีตามเนื้อเรื่องที่นายนายมาสั่งทำ โดยเฉพาะการระบายสีเสื้อผ้า ต้องคำนึงเป็นพิเศษ ตามสมัยนิยม ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น ตัวตลกแต่งตัวเป็นข้าราชการ เป็นตำรวจ ทหาร ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น ส่วนรูปหนังที่ใช้ประดับตกแต่ง มีการลงสีที่จาง ๆ ไม่เข้ม เช่น สีน้ำตาล และสีดำ หรือไม่ลงสีเลย
        5. ขั้นลงน้ำมันชักเงา เมื่อลงสีรูปหนังเสร็จก็ถือว่ารูปหนังเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ถ้าลงน้ำมันชักเงาจะทำให้รูปหนังเป็นมันงาม โดยเฉพาะหนังเชิด เมื่อออกจอผ้าขาวจะดูสวยงามยิ่งขึ้น และจะช่วยรักษาสภาพหนังมิให้ชำรุดเร็วเกินไป
        6. การประกอบตัวหนังและการเข้าตับรูปหนัง รูปหนังที่แกะเป็นประเภทตกแต่ง เพื่อประโยชน์ใช้สอย เมื่อระบายสีเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะนำไปเข้ากรอบหรือฉาก ตามความต้องการขอผู้ใช้ แต่รูปหนังประเภทที่ใช้เชิด โดยเฉพาะหนังตะลุง จะต้องมีการประกอบชิ้นส่วนอวัยวะของรูปหนังบางส่วนที่ต้องการให้เคลื่อนไหว ได้ เช่น แขน มือ ปาก ตา เท้า เป็นต้น จึงต้องเอาชิ้นส่วนเหล่านี้มาเจาะร้อยเข้าด้วยกันเป็นช่วง ๆ ในช่วงที่มีการพับ งอ ใช้ไม้ผูกสำหรับเคลื่อนไหวแสดงท่าทางเพื่อให้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น แล้วนำมาเข้าตับรูปหนัง โดยใช้ไม้ไผ่เหลาผ่าปลายลงมาไม่ตลอด ใช้คีบตัวหนัง เจาะแล้วผูกให้แน่นด้วยเชือก


วัสดุเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต

วัสดุในการผลิต
        วัตถุ ดิบที่ใช้ ได้แก่หนังวัว หรือหนังควาย การเลือกหนังวัวหรือหนังควายมาใช้ เนื่องจากหนังทั้งสองชนิดนี้ มีคุณลักษณะพิเศษกว่าหนังสัตว์อื่น ๆ มีความหนาบางพอเหมาะ มีความแข็งและปรับตัวดี เหนียวและมีความคงทนเมื่อฟอกแล้วจะโปร่งแสง เมื่อระบายสีและนำออกเชิดจะให้สีสันสวยงามและหนังทั้งสองชนิดนี้จะไม่บิดงอ หรือพับง่าย ในการเลือกหนังช่างมีวิธีการเลือก ดังนี้
        1. ลักษณะของขน ต้องอยู่ในสภาพดี
        2. ลักษณะของสภาพผิวของหนัง ต้องไม่มีรอยช้ำ ขูดขีด มีรอยเขียวคล้ำ
        3. การพิจารณาน้ำหนักและขนาดของหนัง ต้องมีเกณฑ์ที่เหมาะสม คือ ประมาณ 8 – 13 กิโลกรัม และมีขนาดความกว้างและความยาวเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ถ้าเป็นหนังที่ใช้แกะสำหรับเชิดจะไม่คำนึงถึงขนาดมากนัก ปัจจุบันหนังมี 2 ชนิด คือ
        1. หนังธรรมดา หมายถึง หนังวัว หรือหนังควายที่ฟอกด้วยมือ หนังชนิดนี้นิยมแกะรูปหนังตะลุงที่ใช้เพื่อการแสดง
        2. หนังแก้ว หมายถึง หนังวัว หรือหนังควายที่ฟอกจากโรงงาน หนังชนิดนี้นิยมแกะรูปหนังตะลุงเพื่อจำหน่ายเป็นของที่ระลึก ประดับตกแต่งบ้านเรือนและบางครั้งก็เพื่อการแสดงหนังตะลุงด้วย โดยเฉพาะนายหนังที่กำลังฝึกหัดใหม่
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่สำคัญในการผลิต ประกอบด้วย
        1. เหล็กแหลมหรือเหล็กขีด ใช้สำหรับร่างแบบเป็นรูปต่าง ๆ บนหนัง
        2. ค้อน ใช้ตอกตุ๊ดตู่ (มุก) เป็นค้อนเหล็ก
        3.ไม้รองตอก (เขียง) ไม้เนื้อแข็ง ใช้ไม้หยี สำหรับใช้รองตอกรูปหนัง ไม้เนื้ออ่อน ใช้ไม้สะทัง สำหรับรองการตัดรูปหนัง
        4. มีดแกะ ต้องมีความคมมาก ใช้สำหรับตัดหนังเป็นรูปต่าง ๆ
        5. หินลับมีด ใช้สำหรับลับมีด
        6. สบู่ขิง ใช้สำหรับจิ้มปลายเครื่องมือหรือตุ๊ดตู่ เพื่อให้เกิดความลื่นเวลาตอก
        7. มุก หรือ ตุ๊ดตู่ ใช้ตอกลวดลาย ซึ่งมีอยู่หลายแบบ เช่น มุกสามเหลี่ยม,มุกเหลี่ยม,มุกกลม,มุกโค้ง,                  มุกตา,มุกปากแบน,มุกตอก,มุกวารี,มุกหัวใจ,มุกดาว ลักษณะเป็นแท่งเหล็กกลม ปลายคม มีรูกลวง ขนาดตามที่ต้องการ
        8. ไม้ไผ่ ใช้สำหรับทาบตัวหนัง หรือเข้าตับรูปหนัง
        9. เชือก,เส้นด้าย ใช้ร้อยเชื่อมระหว่างชิ้นตัวต่าง ๆ ของตัวหนัง
        10. สีต่าง ๆ ใช้ระบายสีตัวหนังตะลุง เช่น สีแดง,สีเขียว,สีน้ำเงิน,สีดำ หรือสีตามความต้องการ สีที่ใช้มักเป็นสีย้อมแพร สีย้อมผ้า สีน้ำหมึก สีทำขนม
        11. หวายเล็กสำหรับระบายสี ตัดเป็นท่อนสั้น ๆ
        12. แปรงขนอ่อน สำหรับทาน้ำมัน
        13.น้ำมันวานิช
        14. น้ำมันเบนซิน


วิวัฒนาการของงานแกะหนัง

       การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตหนังตะลุง ได้เริ่มมีขึ้นในช่วง พ.ศ.2503 กล่าวคือการผลิตหนังตะลุงสมัยโบราณ ช่างแกะหนังตัดรูปให้นายหนังนำไปแสดงเพียงอย่างเดียว ช่างแกะหนังตะลุงของตัวเอง โดยไม่มีการลอกเลียนกันเหมือนในปัจจุบันนี้
        ตั้งแต่ พ.ศ.2503 เป็น ต้นมามีชาวต่างชาติ เข้ามาเที่ยวในเมืองไทยมากขึ้น ภาพหนังตะลุงกลายเป็นสินค้าของภาคใต้และประเทศไทย ทำรายได้ให้ประเทศปีละรายพันร้อยล้าน ในขณะที่การแสดง หนังตะลุงซบเซาลงไป แต่การผลิตหนังตะลุงยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เห็น คุณค่าของตัวหนังตะลุง ได้นำมาประดับตกแต่งบ้านเรือน ช่างแกะหนังจึงมีมากขึ้น และปัจจุบันสามารถเลี้ยงครอบครัวได้เป็นอย่างดีเช่นอาชีพอื่น


งานแกะหนังหนังยุคเก่า

       ช่างแกะหนังลุงมีความสำคัญ เพราะได้ช่วยบันทึกของการเปลี่ยนแปลงให้สังคมของภาคใต้อย่างชัดเจน เช่น การแต่งกาย ทรงผม อาวุธประจำกาย เป็นต้น ในสมัยโบราณหนังตะลุงของไทยแสดงเรื่องรามเกียรติ์ ตัวหนังทั้งที่เป็นมนุษย์ และยักษ์ทรงเครื่อง โบราณสวมมงกุฎเหยียบนาค มีอาวุธประจำกายคือ พระขรรค์และคันศร ตามความเชื่อในศาสนาฮินดูต่อมา เมื่อหนังตะลุงเลิกแสดงรามเกียรติ์ ภาพหนังตะลุงก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วย เจ้าเมืองนางเมือง (ราชา ราชินี) สวมมงกุฎไม่เหยียดนาค ส่วนพระเอกนางเอก ไว้จุกเพิ่มขึ้น

ประวัติความเป็นมาของรูปหนังตะลุง

      จากหลักฐานทราบว่า บริเวณที่อียิปต์ กรีก ตุรกี ซีเรีย อาฟริกาเหนือ บริเวณเหล่านี้มีหนังมาก่อน โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ผู้ครองอาณาจักรมาสิโดเนีย ได้ใช้เวลาในการพิชิตโลก ๑๑ ปี เมื่อพระองค์เข้าเหยียบแดนไอยคุปต์ พระองค์ถือว่าท่านเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง เมื่อได้เข้ามาเยี่ยมเทพสถานอำมอนรา เมื่อกลับออกมาหัวหน้านักพรตยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็นโอรสของอำมอนราแล้ว ในการนั้นได้มีการเฉลิมฉลองการเป็นโอรสของพระองค์ ได้มีการแสดงหนังของไอยคุปต์ เมื่อพระองค์เดินทางเข้าสู่แคว้นปัญจาบของอินเดีย ก็ได้นำศิลปศาสตร์ของกรีกเข้ามาด้วยแล้วต่อไปยังจีนและแพร่หลายไปในที่อื่นๆ ในเอเชียแต่นั้นมา ซึ่งประเทศต่างๆ ที่พระองค์นำศิลปศาสตร์เข้าไป เช่น อินเดีย จีน ก็นำไปดัดแปลงให้เข้ากับอารยธรรมของตน
เมื่ออินเดียรับอารยธรรมของกรีกและอียิปต์เข้ามา ในขณะเดียวกันอินเดียก็มีอารยธรรมอันสูงส่ง มีศาสนาพราหมณ์เป็นเจ้าอยู่ ก็นำมาปรับเข้ากับศาสนาและความเชื่อของตนแล้วนำแพร่ขยายลงไปยังอินเดียใต้ จีน เขมร ลาว ไทย ชวา มาลายู บาหลี ฯลฯ วิธีการเล่นหนังเมื่อไปถึงประเทศใด ประเทศนั้นก็รับเอาวิธีการปรับให้เข้าความเชื่อ ประเพณี ศาสนา ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของตน เช่น เป็นหนังจีน หนังใหญ่ หนัง Sbek ของเขมร หนังชวา หนังบาหลี หนังทมิฬ และหนังตะลุงของไทย
        การเล่นหนังในสมัยแรกๆ น่าจะเป็นหุ่น รูปหุ่นเห็นได้ทุกๆด้านเมื่อออกมาสู่หน้าจอมีไฟสว่างเห็นสีสันได้อย่าง ชัดเจน ต่อมาได้พัฒนาจากการเล่นหุ่นมาเป็นการเล่นเงา (Shadow Puppet) ต้อง ให้แสงส่องผ่านทะลุจึงจะเห็นเงาชัดเจน มิฉะนั้นจะเป็นรูปทึบมองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร จึงมีการฉลุลวดลายขึ้นตามศิลปะในท้องถิ่นหรือประเทศนั้นๆ ทำให้เกิดสีสันสวยงามขึ้นเมื่อมีแสงไฟลอดผ่าน ความจริงนี้เราสามารถสังเกตได้จากรูปหนังสมัยก่อน ใช้หนังหนาแสงลอดผ่านไม่ได้แสงขับสีสันออกมาไม่ได้จึงมองเห็นเป็นรูปทึบ แต่ก็เหมาะที่เล่นกลางวันอย่างเช่น หนังชวาและการเล่นหนังใหญ่ของไทย ต่อมาได้มีการพัฒนาการฟอกหนัง เพื่อให้หนังบางเมื่อนำมาแกะสลักเป็นรูปหนังแสงไฟก็จะขับสีสันออกมาให้เห็น ได้อย่างสวยงามยิ่งขึ้นตามที่ปรากฏในรูปหนังตะลุงในปัจจุบัน  การแกะรูป หนังตะลุง ผู้แกะรูปหนังหรือศิลปินจะต้องมีพื้นความรู้ มีความคิด มีจินตนาการ และประสบการณ์ เมื่อแกะรูปออกมาแล้วจะต้องสอดคล้องกับประเพณี ความเชื่อ ศาสนา และการแต่งกายของท้องถิ่นหรือประเทศนั้นๆ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
        1. รูปหนังชวา (Wayang Jawa) รูปหนังของชวาหน้าตาจะไม่เหมือนคน เพราะชวาถือว่าเรื่องที่เล่นเป็นของสูง เป็นเทวดา เช่น เรื่อง มหาภารตะและ รามายณะหรือเรื่องที่มีอยู่เดิมในบ้านก็มี คือ อิเหนา ฉะนั้นเทวดารูปร่างหน้าตาจะเหมือนคนไม่ได้
        2. รูปหนังใหญ่ของไทย หนัง ใหญ่ของไทยเข้าใจว่าแบบอย่างจากอินเดีย แต่ความคิดและจินตนาการก็เป็นแบบไทย เพราะเราได้แต่วิธีการและเรื่องมา รูปหนังเป็นแผ่นใหญ่มีเรื่องราวเป็นฉากๆแบบเดียวกับของอินเดีย เช่น มีปราสาท เรือน รูปหนังทำด้วยหนังทั้งผืน ใช้ไม้หนีบ (ไม้ตับ) ๒ อัน และไม้สำหรับเชิดมือ ส่วนศิลปะหน้าตาและอื่นๆก็เป็นแบบของไทยเอง
        3. รูปหนังวายังเซียม (Wayang Siam) วา ยังเซียม คือ หนังไทย มีเล่นอยู่ตามจังหวัดชายแดนภาคใต้และทางตอนเหนือของมาเลเซีย เป็นหนังผสมกันระหว่างหนังชวากับหนังตะลุงของไทย แต่ก็ยังมีรูปหนังคล้ายๆ หนังชวาบ้าง เช่น แดหวอ (เทวดา) เป็นต้น
การสร้างรูปหนังไทย จากการศึกษาค้นคว้า สรุปได้ว่า หนังของไทยมีมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามที่ปรากฏในสมุทรโฆษคำฉันท์ ลักษณะของรูปหนังเป็นแบบรูปหนังใหญ่ ต่อมาอาจจะเห็นว่ารูปหนังใหญ่เป็นรูปใหญ่มาก ทำด้วยหนังทั้งผืน หากมีรูปมากก็ยากต่อการขนย้ายจึงค่อย ๆ ลดขนาดของรูปให้เล็กลง จากรูปหนังใหญ่ก็กลายเป็นรูปเล็ก หรือภายหลังเรียกว่า หนังตะลุงเท่าที่ปรากฏหลักฐานทางกรุงเทพมหานคร เรียกว่า หนังตะลุง ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ก่อนแต่นี้เรียกว่า หนังคนทางภาคใต้ก็เรียกว่า หนังไม่มีคำว่า ตะลุง แต่เมื่อมีคำว่า ตะลุง เกิดขึ้น หนังเดิมที่คนกรุงเทพฯ เคยรู้จักก็ได้ชื่อว่า หนังใหญ่ ประชาชนทางภาคใต้ เมื่อประมาณ ๔๐ ปีมาแล้ว เรียกหนังตะลุงว่า หนัง อย่างเช่นชาวบ้านจะพูดว่า ไปแลหนังไหรเล่น” (หนังอะไร) หรือ หนังเลิกต่อมาภายหลังคนภาคใต้รู้ว่าหนังที่ตนดูนั้นชาวกรุงเทพฯเรียกว่า หนังตะลุง
ศิลปะในการแกะรูปหนังถ่ายทอดมาจากหนังใหญ่ ยึดแบบหนังใหญ่เป็นหลัก ในการสร้างภายหลังได้มีการดัดแปลงปรับปรุงตามท้องถิ่นตามกาลเวลา วิธีการเล่นอาจนำการเล่นแบบชวามาเล่นบ้าง แล้วก็พัฒนาไปตามแบบของตน  ช่างแกะรูปหนังตะลุงเป็นผู้มีความรู้ มีฝีมือทางศิลปะ มีพื้นความรู้ทางประเพณี วัฒนธรรมทุกด้าน มีประสบการณ์ รู้จักใช้จินตนาการรวมทั้งขนบนิยมในการสร้าง ช่างแกะรูปหนังตะลุง แบ่งเป็น 2 พวก คือ
        1. นายหนังเป็นช่างแกะเอง นายหนังตะลุงหลายคนที่มีนิยายในการเล่นเป็นของตนเองหมายถึงตนเองเป็นผู้ ประพันธ์ขึ้นมา เป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์สูงก็สามารถแกะสลักรูปหนังออกมาตามที่ตนคิด รูปที่แกะออกมาก็จะสมใจผู้เป็นนายหนังมากที่สุด
        2. ช่างแกะรูปหนังโดยเฉพาะ บุคคลกลุ่มนี้จะมีอาชีพเป็นช่างแกะรูปหนังโดยเฉพาะเล่นหนังไม่เป็น รู้ถึงความต้องการของนายหนังที่มาสั่งแกะรูป ส่วนมากจะมีอาชีพอื่นประกอบอยู่แล้วงานแกะรูปเป็นงานอดิเรก สามารถแกะรูปหนังตามรูปลักษณ์ที่นายหนังต้องการ บางครั้งก็แกะรูปหนังเตรียมไว้มากมาย รอนายหนังเป็นผู้ไปเลือกซื้อ แต่ส่วนมากจะแกะตามรูปลักษณ์ที่นายหนังไปชี้แนะ


คุณค่าและบทบาทงานช่างแกะรูปหนังตะลุงต่อวิถีชีวิตคนในท้องถิ่น

    การแกะรูปหนังตะลุง เป็นงานศิลปหัตกรรมพื้นบ้านที่มีคุณค่าและมีบทบาทต่อวิถีชีวิตของคนในท้อง ถิ่นมานานหลายร้อยปี วัตถุประสงค์หลักของการแกะรูปหนังตะลุงในอดีตก็เพื่อใช้ในการแสดงหนังตะลุง เท่านั้น เป็นภูมิปัญญาที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษในครอบครัวของตนหรือเรียน รู้ด้วยการฝึกหัด ฝึกฝนเป็นหลัก จากเพื่อนบ้านในหมู่บ้านของตน ซึ่งการแกะรูปหนังตะลุงนั้นมักจะแกะอยู่ในกรอบของวิถีชีวิต สังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งรูปแบบและลวดลาย ที่มีคุณค่าด้านต่าง ๆ ดังนี้
    1. คุณค่าด้านสังคม สามารถก่อให้เกิดความรัก ความผูกพัน สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและยั่งยืน ตั้งแต่ด้านครอบครัว ด้านชุมชน ด้านความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนและด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนี้
        1.1 ด้านครอบครัว การเรียนรู้สืบทอดภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษ จากพ่อสู่ลูก ส่งผล
ครอบครัวมีความรู้สึกผูกพันใกล้ชิด ก่อให้เกิดความรัก ความเข้าใจ ความผูกพันอันทรงคุณค่ายิ่งในครอบครัว
        1.2 ด้าน ชุมชน การเรียนรู้การแกะรูปหนังตะลุงในหมู่เพื่อนบ้านและการที่หลายๆ ครอบครัวได้เข้ามารวมกลุ่มแกะหนังตะลุงขึ้นมาเป็นการใช้กระบวนการทำงานแบบ การรวมกลุ่มทำงานในรูปแบบของสมาชิกกลุ่ม ทำให้มีการเคารพต่อกันและการอาศัยอยู่ร่วมกับคนอื่นภายใต้กฎระเบียบสังคม เดียวกัน ก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในชุมชน ส่งผลให้ชุมชนเข้มแข็งและสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและยั่งยืน
        1.3 ด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน เมื่อมีกลุ่มแกะหนังตะลุงเกิดขึ้นในชุมชน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาตลาดภายนอกชุมชนเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียน รู้และสร้างรายได้ให้กับชุมชน เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอดความรู้ ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชุมชนอื่นๆ อีกด้วย
        1.4 ด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะ เห็นได้ว่าจากการที่รูปหนังตะลุงที่แกะเป็นของที่ระลึก และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่แกะจากหนังวัว หนังควายนั้น เป็นที่สนใจของคนทั่วไปและชาวต่างชาติเป็นอย่างดี ถือได้ว่าการแกะรูปหนังตะลุงเป็นงานศิลปหัตกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด พัทลุงและของภาคใต้ เป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่สามารถเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมชม ทัศนศึกษาและได้ซื้อผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านการแกะรูปหนังตะลุงกลับไป สู่ประเทศของตน ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของตน ที่สามารถถ่ายทอดวัฒนธรรมไปสู่ต่างประเทศได้และเป็นส่วนหนึ่งในการแลก เปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมกับต่างประเทศ ทำให้ภูมิปัญญาไทยเป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดีขึ้นตามมาด้วย
    2. คุณค่าด้านศาสนา ความ เชื่อในด้านศาสนาที่มีอยู่ในท้องถิ่น โดยจะแกะหนังเป็นรูปพระเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและกราบไหว้สักการะ บูชา

    3. คุณค่าด้านวัฒนธรรม อันประกอบด้วย
        ด้านความ เชื่อ ช่างแกะหนังในจังหวัดพัทลุง มีวัฒนธรรมความเชื่อถือผีบรรพบุรุษ โดยมีความเชื่อเกี่ยวกับการไหว้ครูช่าง โดยความเชื่อนับถือครูบาอาจารย์ที่ประสาทวิชาความรู้การแกะหนังตะลุงมาสู่ รุ่นลูกรุ่นหลาน และไหว้วิญญาณของบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นความเชื่อว่า วิญญาณของบรรพบุรุษยังมีความรักความห่วงใยลูกหลาน คอยพิทักษ์รักษาดูแลทุกคนในวงเครือญาติให้อยู่อย่างปลอดภัย มีความเจริญในหน้าที่การงาน
นอกจากจะมีความเชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษแล้ว ยังมีความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ช่างแกะหนังตะลุงมีความเชื่อว่า การทำรูปหนังพวกฤาษี รูปตัวตลก จะนิยมใช้หนังหมี หนังเสือมาแกะรูป ส่วนรูปหนังพระอิศวร พระนารายณ์ ใช้หนังวัวที่ถูกเสือกัดตาย หรือออกลูกหรือถูกฟ้าผ่าตาย เรียกว่า ตายพราย วัวที่ถูกฟ้าผ่าตายและหนังวัวที่ตายทั้งกลม โดยมีความเชื่อว่าหนังชนิดนี้มีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นความเชื่อด้านเหนือสิ่งธรรมชาติ ในเรื่องของภูตผีปีศาจอยู่ ช่างแกะหนังในจังหวัดพัทลุงทุกคนเคารพและนับถือความเชื่อด้านสิ่งเหนือ ธรรมชาติที่สิงสถิตอยู่ที่ตัวรูปหนังและจะบูชากราบไหว้ และถือว่าตัวรูปหนังดังกล่าวนำความเจริญ โชคลาภ ความดีความงามมาสู่แก่ช่างแกะหนังทุก ๆ คน
นอกจากความเชื่อดังกล่าวแล้ว ในการแสดงหนังตะลุงก็มีความเชื่อว่า การเชิดรูปพระอิศวร เป็นตัวที่ 2 ต่อจากรูปฤาษี เป็นรูปสำคัญตัวหนึ่งที่หนังตะลุงทุกคณะต้องเชิดตามขนบนิยมทุกครั้งที่มีการ แสดง เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า รูปพระอิศวร เป็นสื่อเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมหนังตะลุงกับคตินิยม ตามลัทธิศาสนาพราหมลัทธิไศวนิกายที่ถือเอาพระศิวเทพเป็นใหญ่ในตรีมูรติ (พระศิวะ พระวิษณะ และพระพรหม)
    4. คุณค่าด้านเศรษฐกิจ จากในอดีตการที่ช่างแกะรูปหนังตะลุง แกะเพื่อใช้ในการแสดงหนังตะลุงเท่านั้น ทำให้มีการแกะกันเพียงไม่กี่ครัวเรือน ปัจจุบัน การแกะรูปหนังตะลุงมีทั้งแกะสำหรับการแสดงและแกะเพื่อเป็นสินค้า เป็นของที่ระลึก และใช้ประดับตกแต่ง ทำให้การแกะรูปหนังตะลุงฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง สามารถเพิ่มเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ทั้งยังก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชุมชนอื่น ๆ อีกด้วย 5. คุณค่าด้านความสุนทรีย์ การแกะรูปหนังตะลุง ต้องเป็นคนที่มีความรู้สามารถ ความเข้าใจและความชำนาญในด้านศิลปะเป็นอย่างดี โดยเฉพาะลวดลายไทย ที่ต้องใช้ในการแกะหนัง และสามารถวาดรูปและลงสีให้สวยงามเกิดความสุนทรีย์ในผลิตภัณฑ์ ส่งผลในการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้อีกประการหนึ่งด้วย
    6. คุณค่าด้านการสร้างจิตนิสัย จากการที่ชาวบ้านได้รวมกลุ่มทำศิลปหัตถกรรมการแกะหนังตะลุง เป็นการรวมกลุ่มกันทำให้เกิดคุณค่าด้านการสร้างจิตนิสัยเกิดความสัมพันธ์กัน เป็นสังคมท้องถิ่น ส่งผลให้ชาวบ้านสร้างจิตนิสัยในด้านต่างๆ 6 ด้าน ได้แก่ ความสามัคคีในกลุ่ม ความอดทน ความมีจิตใจเอื้ออารี ความขยันหมั่นเพียร ความประหยัดและการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
    7. คุณค่าด้านการช่วยลดภาวะโลกร้อน ศิลปหัตกรรมการแกะรูปหนังตะลุงสามารถช่วยลดโลกร้อนได้ด้วยเหตุผล ดังนี้
        7.1 ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง เป็นการช่วยในการลดการแพร่กระจายของกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิดมลภาวะเป็นพิษ ใช้แรงงานจากบุคคลในการผลิต มากกว่าใช้เทคโนโลยี และไม่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง ใช้เครื่องมือที่ไม่ใช้พลังงานมาก
        7.2 ลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน โดยนำขนวัว ขนควาย เศษหนังที่ไม่ใช้ นำมาทำปุ๋ยแทนการใช้ปุ๋ยชีวภาพ
        7.3 ใช้พลังงานทดแทน โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการตากหนัง
        7.4 การ รวมกลุ่มอาชีพ รวมกลุ่มสร้างตลาดผู้บริโภค-ผู้ผลิตโดยตรงในท้องถิ่น เพื่อลดกระบวนการขนส่งผ่านพ่อค้าคนกลางที่ต้องใช้พลังงานและน้ำมันในการ คมนาคมขนส่งงานหัตถกรรมไปยังตลาด


วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

หนังตะลุง

หนังตะลุง    
   
        หนังตะลุงเป็นศิลปะการแสดงประจำท้องถิ่นอย่างหนึ่งของภาคใต้ เป็นการเล่าเรื่องราวที่ผูกร้อยให้เป็นนิยาย ดำเนินเรื่องด้วยบทร้อยกรองที่ขับร้องเป็นสำเนียงท้องถิ่น หรือที่เรียกกันว่าการ "ว่าบท" มีบทสนทนาแทรกเป็นระยะ และใช้การแสดงเงาบนจอผ้าเป็นสิ่งดึงดูดสายตาของผู้ชม ซึ่งการที่จะว่าบท การสนทนา และการแสดงเงานี้ 25นายหนังตะลุงเป็นคนแสดงเองทั้งหมด หนังตะลุงเป็นมหรสพที่นิยมแพร่หลายอย่างยิ่งมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในยุคสมัยก่อนที่จะมีไฟฟ้าใช้กันทั่วถึงทุกหมู่บ้านอย่างในปัจจุบัน หนังตะลุงแสดงได้ทั้งในงานบุญและงานศพ ดังนั้นงานวัด งานศพ หรืองานเฉลิมฉลองที่สำคัญจึงมักมีหนังตะลุงมาแสดงให้ชมด้วยเสมอ
       แต่เมื่อเวลาผ่านไป หนังตะลุงกลับกลายเป็นความบันเทิงที่ต้องจัดหามาในราคาที่ "แพงและยุ่งยากกว่า" เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ เพราะการจ้างหนังตะลุงมาแสดง เจ้าภาพต้องจัดทำโรงหนังเตรียมไว้ให้ และเพราะหนังตะลุงต้องใช้แรงงานคน (และฝีมือ) มากกว่าการฉายภาพยนตร์ ค่าจ้างต่อคืนจึงแพงกว่า ยุคที่การฉายภาพยนตร์เฟื่องฟู หนังตะลุงและการแสดงท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น มโนราห์ รองแง็ง ฯลฯ ก็ซบเซาลง ยิ่งเมื่อเข้าสู่ยุคที่ทุกบ้านมีโทรทัศน์ดู ละครโทรทัศน์จึงเป็นความบันเทิงราคาถูกและสะดวกสบาย ที่มาแย่งความสนใจไปจากศิลปะพื้นบ้านเสียเกือบหมด ปัจจุบัน โครงการศิลปินแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์และสืบทอดศิลปะการแสดงหนังตะลุงให้แก่อนุชนรุ่นหลัง เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่านี้ให้คงอยู่สืบไป
 

 

ชาว ต.อุไดเจริญ แสดง “หนังตะลุงคน” เทิดพระเกียรติ 84 พรรษา


           ชาวบ้าน ต.อุไดเจริญ แสดง หนังตะลุงคนสะท้อนการดำเนินชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะหนังตะลุงคนบ้านผัง 4 ต.อุไดเจริญ อ.ควนกาหลง จ.สตูล จัดแสดงหนังตะลุงคนเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม นี้ โดยมีชาวบ้านในพื้นที่ ต.อุไดเจริญ ร่วมแสดงละครสะท้อนชีวิตสังคม การดำเนินชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว ที่ทรงทำเพื่อประชาชน ถ่ายทอดสะท้อนผ่านตัวละครที่แสดงเป็นหนังตะลุง โดยมีประชาชนและนักเรียนรับชมที่บริเวณแหล่งน้ำสวนเฉลิมพระเกียรติพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หมู่ที่ 9 ต.อุใดเจริญ อ.ควนกาหลง จ.สตูล เป็นจำนวนมาก
        สำหรับ หนังตะลุงคนดังกล่าว สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสตูล กลุ่มชาวบ้านรักษ์วัฒนธรรม ต.อุไดเจริญ และกลุ่ม อสม.ได้ร่วมกันจัดตั้งขึ้นมาเป็นที่แรก